วิธีพัฒนาตนเอง แบบที่ใครก็สามารถทำได้

วิธีพัฒนาตนเอง แบบที่ใครก็สามารถทำได้

เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ


"จงทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้ว อย่าทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว"

หลักในการยกระดับตัวเอง คือ การหมั่นมองหาจุดด้อยของตนเองอยู่เสมอของคุณธนินท์ ช่วยสนับสนุนแนวคิดนี้ได้เป็นอย่างดี

คนที่คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ หรือปรับปรุงอะไรเพิ่มเติมอีก ก็เหมือนกับน้ำเต็มแก้ว ที่ยิ่งรินน้ำเติมเข้าไปเท่าไร มีแต่จะทำให้น้ำล้นออกมา ไม่สามารถเติมอะไรลงไปได้อีกแล้ว ไม่สามารถพัฒนาอะไรได้อีก ต่างจากคนที่รู้ตัวว่า ตนเองยังมีจุดด้อยอยู่ คนแบบนี้เปรียบได้กับน้ำครึ่งแก้ว ที่ยังสามารถรองรับน้ำได้อีกครึ่งแก้ว ซึ่งหมายถึง ยังสามารถพัฒนาตนเองให้ดี และเก่งยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ได้อีกนั่นเอง

การมองตัวเองเป็นน้ำเพียงครึ่งแก้ว หรือมองว่าตนเองยังมีจุดบกพร่องอยู่ จะทำให้เราไม่หยุดที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ



ทุกคนจำเป็นต้องเรียนรุ้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอด ไม่ว่าจะยากดีมีจน สูงต่ำดำขาว จะเพศหรืออายุใดก็ตาม เพราะการเรียนรู้จะทำให้เราปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้

ุทกวันนี้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ออกมามากมาย เราจะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับเทคโนโลยีเหล่านั้น เราจำเป็นต้องเรียนรู้กฎหมาย ตลอดจนระเบียบของสถานที่ต่างๆ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นสุข เราจำเป้นต้องเรียนรู้วิชาชีพและวิธีทำมาหากิน เราจำเป็นต้องเรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่น ดังนั้นการเรียนรู้จึงไม่จำกัดอยู่ภายในห้องเรียนเท่านั้น

คุณอาจท่องอินเตอร์เน็ตเพื่อเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ คุณอาจดูสารคดีทางโทรทัศน์ เพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตในต่างแดน คุณอาจอ่านหนังสือเพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ตลอดจนคุณอาจคุยกับคุณปู่คุณย่าเพื่อเรียนรู้แนวคิดในการทำงานให้ประสบความสำเร็จ


นอกจากนี้เรายังสามารถเรียนรู้จากสิ่งที่เราผ่านมา อันไหนที่ทำแล้วดี อันไหนที่ทำแล้วไม่ดี การที่ดูสิ่งไหนดีไม่ดีต้องใช้เหตุผลในการตัดสินอย่าใช้อคติ อารมณ์ในการตัดสิน 

สามารถเรียนรู้โดยจากผู้ที่ประสบความสำเร็จว่าทำแบบไหน อย่างไร ซึ่งเราสามารถเลือกนำมาเป็นแบบอย่างในแบบฉบับของเรา

อาจกล่าวได้ว่า หากต้องการยกระดับตัวเอง การเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นที่สุด

คุณลี กาซิง มหาเศรษฐีชาวฮ่องกง ก็เป็นอีกคนที่สนับสนุนแนวความคิดนี้

"อย่าหยุดที่จะหาความรู้ใหม่ๆ ดูเศรษฐกิจโลกและการเมืองให้รอบคอบ แล้ววิ่งนำสังคมที่คุณเลือกอยู่"

สมัยเด็กคุณลี กาซิงมีฐานะยากจน อีกทั้งพ่อยังมาเสียไปตั้งแต่เขาอายุได้เพียง 12 ปี ทำให้เขาต้องออกจากโรงเรียนและแบกภาระหัวหน้าครอบครัว ออกมาทำงานเพื่อหาเงินเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวตั้งแต่นั้น

แต่คุณลี กาซิงไม่เคยทิ้งการเรียน แม้จะยากจนเพียงใด แม้งานที่ทำจะหนักหนาแค่ไหน เขาก็ยังเก็บเงินไปซื้อหนังสือเก่ามาอ่านทุกเช้า และยังใช้เวลาว่างช่วงเย็นหลังเลิกงานไปเรียนพิเศษเพิ่มเติมอีกด้วย

ด้วยความรักเรียนและขยันหมั่นเพียร ทำให้เขาพัฒนาตนเอง สามารถก้าวเข้าสู่ตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ของโรงงานของแผ่นพลาสติกได้ตั้งแต่ยังอายุไม่ถึง 20 ปี



จากวันนั้นเขาได้เริ่มต้นเปิดกิจการโรงงานผลิตพลาสติกของตนเอง ธุรกิจของเขาเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ และแตกแขนงจากธุรกิจผลิตพลาสติก เติบโตไปสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมผลิตกระแสไฟฟ้า โรงแรม ซุปเปอร์มาร์เก็ต ท่าเรือ การสื่อสาร ธุรกิจสื่อ และอื่นๆ อีกมากมาย จนทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของฮ่องกง และได้รับฉายา "ซูเปอร์แมน" ในที่สุด ซึ่งทั้งหมดล้วนประสบความสำเร็จได้ด้วยการหมั่นเรียนรู้ และรู้จักปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอนั่นเอง

แม้ทุกวันนี้ คุณลี กาซิงจะประสบความสำเร็จอย่างที่ต้องการแล้ว และเขาก็มีอายุมากcล้ว แต่เขาก็ไม่หยุดที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองต่อไป เขายังคงอ่านหนังสือทุกวันก่อนนอนและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เพราะการเรียนรู้ทำให้มีข้อมูลมากและไม่มีวันตกข่าว ซึ่งทั้งสองอย่่างนี้เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับนักบริหาร เวลาเพียงเสี้ยววินาที
ก็อาจชี้ความเป็นไปของธุรกิจได้ ดังนั้น
คนที่รู้มากกว่า และ
ทันเหตุการณ์กว่า จึงย่อมรวยก่อน และยกระดับตัวเองได้ก่อนเป็นเรื่องธรรมดา

การพัฒนาตนเองที่ได้ผล คือ เราต้องเรียนรู้ด้วยความสุขใจ แล้วทำไปด้วย และยิ่งได้เรียนรู้จากคนที่สำเร็จ ก็ยิ่งดี





#วิธีพัฒนาตนเอง

Comments